วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ค่าแรง300บ.ทำต้นทุนสร้างบ้านพุ่ง

เฮ้าส์ เฟรนด์ลี่ฯ ชี้ประกาศปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำ 300 บาท  เหล็กยืนราคาขาย ส่งผลดีตลาดโครงสร้างหลังคาสำเร็จรูป ดันยอดขายโตต่อเนื่อง ชี้ต้นทุนวัสดุก่อสร้างแรงงานพุ่งส่งผลรับสร้างบ้าน-โครงการจัดสรรหันมาใช้โครงสร้างหลังคาสำเร็จรูป มั่นใจปี 56 ยอดขายพุ่งไม่ต่ำกว่า 200,000  ตร.ม.หรือโตเพิ่ม 15%
        นายสรพล คงรอด กรรมการผู้จัดการ บริษัท เฮาส์ เฟรนด์ลี่ จำกัด ผู้ผลิตโครงหลังคาสำเร็จรูปภายใต้แบรนด์ "อีซี่ทรัส" เปิดเผยว่า การประกาศปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 มกราคม2556 ที่ผ่านมาส่งผลต่อต้นทุนการก่อสร้างบ้านของผู้ประกอบการรับสร้างบ้านและอสังหาริมทรัพย์อย่างมาก ทำให้ผู้ประกอบการต้องมีการปรับตัวลดต้นทุนการก่อสร้าง รวมถึงการบริหารงานระบบก่อสร้างให้มีประสิทธิภาพ เพื่อลดระยะเวลาในการก่อสร้าง ซึ่งจะช่วยให้ส่งมอบบ้านให้ลูกค้าเร็วขึ้น เพื่อเป็นการลดต้นทุนที่เกิดจากการจ้างงานอีกด้านหนึ่ง
 อย่างไรก็ตามแม้ว่ากลุ่มวัสดุก่อสร้างในทุกหมวดจะปรับตัวขึ้นแต่ในส่วนของกลุ่มเหล็กและผลิตภัณฑ์จากเหล็ก ยังคงยืนราคาขายไม่มีการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ และผู้ประกอบการรับสร้างบ้านหันมาใช้โครงสร้างหลังคาสำเร็จรูป ทดแทนการใช้เหล็กเส้น ซึ่งต้องตัดและประกอบโครงหลังคาเอง ทำให้ต้องใช้แรงงานและระยะเวลาในการประกอบโครงหลังคามากขึ้น
    จากปัจจัยทั้ง 2 ข้างต้นส่งผลให้ความต้องการใช้โครงสร้างหลังคาสำเร็จรูปขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของบริษัทเอง ในปี 2555 ที่ผ่านมามียอดการสั่งซื้อเพิ่มขึ้นมาก ทำให้อัตราการเติบโตของรายได้สูงถึง 20%  ส่วนในปีนี้บริษัทตั้งเป้าว่าจะมีอัตราการขยายตัวของยอดขายเพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 15% หรือมียอดขายโครงสร้างหลังคาสำเร็จรูปไม่ต่ำกว่า 200,000 ตารางเมตร (ตร.ม.)
  โดยอัตราการเติบโตของยอดขายดังกล่าวมาจากการขายสินค้าเข้าโครงการหมู่บ้านจัดสรร40% และเป็นการขายโครงสร้างหลังคาสำเร็จรูปให้แก่กลุ่มผู้ประกอบการรับสร้างบ้านอีก 60%อย่างไรก็ตาม บริษัทยังให้น้ำหนักกับการทำตลาดรับสร้างบ้านมากกว่า เนื่องจากการขายเข้าโครงการจัดสรรนั้นมีมาจิ้นต่ำกว่าตลาดรับสร้างบ้าน
     "โดยในอนาคต 2-3 ปีข้างหน้าบริษัทมีแผนจะเพิ่มสัดส่วนการขายเข้าสู่ตลาดบ้านจัดสรรให้สูงขึ้นโดยวางสัดส่วนยอดขายโครงการจัดสรร และบริษัทรับสร้างบ้านไว้ที่ 50-50%"

วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

กองทุนตะวันออกกลางซื้อหุ้นซีพีเอ็น


       นายนริศ เชยกลิ่น รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี และสายงานบริหาร ทรัพย์สิน บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) กล่าวว่า ผลการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 130 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 50.75 บาท มูลค่ารวม 6.5 พันล้านบาท นั้น บริษัทได้จัดสรรให้กับสถาบันต่างประเทศ 60% ซึ่งผู้ที่ได้รับเป็นประเภทกองทุน โดยเฉพาะมีกองทุนตะวันออกกลาง เช่นอาบูดาบี้ เริ่มเข้ามาลงทุนกันมากขึ้นด้วย

"สาเหตุที่กลุ่มตะวันออกกลางมาซื้อหุ้นเป็นผลจากการไปโรดโชว์ครั้งก่อน และนักลงทุนต่างประเทศมองว่าเมื่อเปิดกระแสเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC)ธุรกิจค้าปลีกจะได้รับปรโยชน์ในครั้งนี้ จึงเข้ามาลงทุน ซึ่งบริษัทจัดสรรได้จำนวนจำกัด ปัจจุบันมีสัดส่วนเพดานต่างชาติใกล้เต็ม 30% อย่างไรก็ตามบริษัทมีแผนจะเดินทางไปโรดโชว์อีก เพราะต้องการให้ผู้ถือหุ้นมีความหลากหลายมากขึ้น"

ภายหลังจากที่บริษัทขายหุ้นเพิ่มทุนแบบพีพี มีจำนวนหุ้นหมุนเวียนในตลาด (ฟรีโฟลท) เพิ่มขึ้นเป็น 50% ทั้งนี้บริษัทคาดว่าจะไม่มีการระดมทุนในตลาดทุนอีกในช่วง 2 ปีข้างหน้า ยกเว้นแต่มีการลงทุนขนาดใหญ่ สำหรับการเพิ่มทุนรอบนี้จะทำให้บริษัทมีเงินสดเข้ามาบริษัทอีก 6.5 พันล้านบาท ซึ่งจะนำเงินที่ได้มาใช้พัฒนาโครงการที่เกาะสมุย จ.สุราษฏร์ธานี และโครงการศาลยา ซึ่งจะเปิดให้บริการได้ประมาณปี 2557

รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยระบุว่า เซ็นทรัลพัฒนารายงานผลการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแบบพีพี จำนวน 130 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 50.75 บาท ให้กับนักลงทุนต่างประเทศ 60% ที่เหลือเป็นของนักลงทุนในประเทศ ซึ่งบริษัทจะได้รับเงินมูลค่า 6.5 พันล้านบาท

วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ผู้ประกอบการยันตลาดอสังหาฯยังเติบโต


      นายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมการขายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขณะนี้ ทั้งโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบและแนวสูง ยังเติบโตได้ดี ทั้งในตลาดกรุงเทพฯและปริมณทล แต่จำนวนการการเปิดตัวโครงการปประเภทคอนโดมิเนียมลดลง อาจเนื่องมาจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย คุมสินเชื่อเข้มงวดขึ้นทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ระมัดระวังตัวมากขึ้น รวมถึงปัญหาการขาดแคลนแรงงาน เพราะตอนนี้ผู้ประกอบการไม่ได้กลัวเรื่องการขายไม่ได้ แต่กลัวว่าจะก่อสร้างไม่ได้
ทั้งนี้ ประเมินจากยอดการขายโครงการของศุภาลัย ที่นำไปร่วมออกบูธในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 28 เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา พบว่ามียอดขายใงานมากกว่า 140 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าทุกปีทำยอดขายในงานเฉลี่ยอยู่ที่ 100 ล้านบาทบวกลบ สวนทางกลับยอดผู้เข้าชมงานในปีนี้ที่ลดลงถึง 20% เนื่องจากไปจัดช่วงเวลาเดียวกับงานมันนี่เอ็กซ์โป เป็นงานใหญ่กว่า
"ยอดคนมาเดินงานบ้านและมหกรรมบ้านและคอนโด พลาดเป้าก็จริง แต่ยอดขายของบริษัทรายใหญ่ที่มาออกงาน ส่วนใหญ่จะมียอดที่ดีทุกบริษัท เพราะคนที่มาเดินงานส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการมาซื้อ ในงานมีแคมเปญและส่วนลดต่างๆ มากกว่าปกติ พบว่าปัจจุบันจะไม่ค่อยมีแล้วที่จะมาเดินเที่ยวชมเฉยๆ แต่เพราะปีนี้เราไปจัดชนกับงานใหญ่อย่างมันนี่เอ็กซ์โป ทำให้ดึงคนไปเยอะ"
ด้านนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท กล่าวว่า ภาพรวมของกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ถือว่ายังเติบโตได้ดี แต่จะไม่หวือหวาเท่ากับปีก่อน แต่เป็นการเติบโตจากกำลังซื้อที่มาจากดีมานด์ที่แท้จริง ไม่มีสัญญาณของการเก็งกำไรให้เห็น และตลาดที่เติบมากอยู่ในระดับตลาดกลางและล่าง
"ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังเติบโตดีและมีกำลังซื้อ โดยเฉพาะตลาดระดับกลางและล่าง ขณะที่บริษัทสามารถทำยอดขายตามเป้าที่วางไว้ ซึ่งไตรมาสแรกบริษัทเติบโตถึง 2 เท่า เมื่อเทียบกับปีก่อน" นายประเสริฐ 

วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

อมตะเชื่อครึ่งปีหลังยอดขายที่ดินพุ่ง


          นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรการและประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (AMATA) กล่าวว่า บริษัทมั่นใจว่ายอดขายที่ดินทั้งปีนี้จะทำได้ตามเป้าหมายที่ 3 พันไร่ เนื่องจากจะมีดีลขนาดใหญ่จำนวนหลายร้อยไร่ เข้ามาในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมรถยนต์ของญี่ปุ่นและเอเชีย แม้ว่ายอดขายในไตรมาส 1/56 จะต่ำกว่าที่คาด ซึ่งเป็นปกติที่ยอดขายช่วงครึ่งแรกของปีจะต่ำกว่าครึ่งปีหลังอยู่แล้ว
          ทั้งนี้ ความคืบหน้าการพัฒนาที่ดินที่อมตะนคร 3,500 ไร่ที่ได้เริ่มพัฒนาในปีนี้ปัจจุบันใกล้เสร็จแล้ว ซึ่งเป็นที่ดินส่วนขยายที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ เนื่องจากที่ดินนิคมอุตสาหกรรมปัจจุบันเหลือเพียง 500 ไร่ ทำให้เมื่อพัฒนาเสร็จแล้วจะมีที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเป็น 4,000 ไร่ โดยตั้งงบลงทุนทั้งปีในการพัฒนาที่ดิน 1,500-2,000 ล้านบาท ซึ่งในไตรมาส 1/56 ใช้ไปเพียง 10-20% ของงบลงทุนส่วนที่การปรับนโยบายการขายที่ดินให้เป็นการเช่าระยะยาวแทนนั้น ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป เนื่องจากบริษัทต้องการมีทั้ง 2 ทางเลือกที่จะนำเสนอให้ลูกค้า ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ว่าจะทำ 2 อย่างจะทำได้หรือไม่ ขณะที่ยังไม่มีแผนปรับเพิ่มราคาที่ดิน เนื่องจากปีที่ผ่านมาได้ปรับไปแล้ว หากมีการปรับต้องขึ้นอีกคงต้องอยู่กับเหตุผลและความจำเป็น ขณะที่การเข้าไปลงทุนพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในพม่านั้น ยังอยู่ระหว่างการศึกษา

วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

แสนสิริโกยยอดขายต่างจังหวัดหมื่นล้าน


     นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) เปิดเผยว่า บริษัทสามารถสร้างยอดขายจากการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ในตลาดต่างจังหวัดได้แล้วถึง 10,000 ล้านบาทจากความสำเร็จในการทยอยปิดการขายโครงการใหม่ๆ ในทุกจังหวัดได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ทั้งในหัวหิน - ภูเก็ต - ระยอง - พัทยา และขอนแก่น จำนวนทั้งสิ้น 8โครงการ ใน 5 จังหวัดหลักทั่วประเทศ
โดยล่าสุดบริษัทยังได้เตรียมเปิดการขายอีก 2โครงการคอนโดมิเนียมใหม่ ได้แก่ เดอะ เบส ไฮท์-อุดรธานี มูลค่าโครงการรวม 1,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นการรุกพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อตอบรับกลุ่มลูกค้าในจังหวัดอุดรธานีเป็นครั้งแรก
ส่วนดีคอนโด นครระยอง มูลค่าโครงการรวม 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการพัฒนาโครงการเพื่อตอบรับกลุ่มลูกค้าในจังหวัดระยองต่อเนื่องเป็นโครงการที่ 2 ต่อจากโครงการแรกที่ได้รับการตอบรับที่ดีจนสามารถปิดการขายลงอย่างรวดเร็วในวันแรกของการเปิดพรีเซลล์ โดยคาดว่าทั้ง 2 โครงการจะได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าในตลาดต่างจังหวัดเช่นเดียวกับโครงการอื่นๆ ที่ผ่านมา

วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

กทม.เปิดวอร์รูมฟังความเห็นผังเมืองฉบับใหม่

เกรียงพล พัฒนรัฐ,ผังเมืองกทม.,กทม.

นายเกรียงพล พัฒนรัฐ ผู้อำนวยการสำนักผังเมือง กทม. กล่าวถึงความคืบหน้าร่างผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร ฉบับใหม่ ปรับปรุงครั้งที่ 3 ว่า ภายหลังเมื่อกฎกระทรวงฯ ประกาศลงราชกิจจานุเบกษาไปแล้ว สำนักผังเมืองเตรียมเปิดศูนย์บริการข้อมูลผังเมืองรวมกรุงเทพมหานครฉบับใหม่ คาดว่าจะเป็นวันที่ 16 พฤษภาคม ประมาณ 1 เดือน เพื่อให้ประชาชน เอกชน ผู้ประกอบการสามารถขอข้อมูล หรือร้องทุกข์เกี่ยวกับผังเมืองฉบับใหม่ โดยจะมีนักผังเมือง นักวิเคราะห์ผังเมือง และสถาปนิกที่มีความเข้าใจกฎกระทรวงมาอยู่ประจำศูนย์เพื่อให้คำชี้แจงถึงร่างผังเมืองทุกกรณี ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น. ที่ชั้น 1 สำนักผังเมือง ถ.วิภาวดีรังสิต เขตดินแดง ทั้งนี้ ผังเมืองสามารถเปลี่ยนแปลงได้ไม่ตายตัว โดยการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ฉบับแรกเมื่อปี 2535 ถึงฉบับนี้เป็นการปรับปรุงให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงเมืองกรุงเทพฯ แต่ทุกอย่างจะไม่ดำเนินการโดยฉับพลัน เพราะจะกระทบกับประชาชนอย่างสูง ซึ่งนักวิชาการได้ให้ความเห็นว่าการทำผังเมืองเป็นความสมดุลบนความขัดแย้ง ทำให้ที่ผ่านมาการทำร่างผังเมืองต้องผ่านการหารือสาธารณะ ก็มีกลุ่มเห็นต่างและเห็นด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการประกาศใช้ สำนักผังเมืองจะประเมินผลจากความเห็นของประชาชนที่แสดงกลับมา ว่ามีความเดือดร้อน หรือมีประโยชน์ในจุดใด
"กรุงเทพฯเป็นมหานครมา 200 ปี แต่เพิ่งมามีกฎหมายผังเมืองเมื่อปี 2535 โดยผังเมืองฉบับนี้ให้กรุงเทพฯมีสมดุลของเศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรม ซึ่งอีก 5 ปีคาดว่าจากการเติบโตในจ.ฉะเชิงเทรา และชลบุรี จะมีการขยายตัวของประชาชนไปทางฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯมากกว่าฝั่งตะวันตก"นายเกรียงพลกล่าว

วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

การตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย

  สำหรับการตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย  มีรูปแบบการตั้งถิ่นฐาน 3 แบบ

1. รูปแบบการตั้งถิ่นฐานแบบรวมศูนย์ (Cluster Settlement)  เป็นรูปแบบการตั้งถิ่นฐานเก่าแก่ของไทยอันเนื่องมาจากความสะดวกตามธรรมชาติ  เช่น  เกิดตามแหล่งน้ำ  แหล่งแร่  และที่เพาะปลูกที่อุดมสมบูรณ์  หรือตามเส้นทางคมนาคม  มีอาคารบ้านเรือนหลายหลังสร้างล้อมรอบ บ่อน้ำ  ตลาด  วัด  โรงเรียน  หรือบ้านของผู้นำ  ต่อมาเมื่อจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้น จะมีการขยายตัวเป็นกลุ่มออกจากศูนย์กลางอย่างชัดเจน  หมู่บ้านดังกล่าวพบมากในเขตภาคเหนือ  และภาคกลางตอนบน  ส่วนภาคใต้พบตามแหล่งแร่ทั่วไป  ลักษณะของหมู่บ้านแบบรวมศูนย์  หรือเกาะกลุ่มไม่มีขอบเขตที่แน่นอน  นอกเหนือจากจะยึดเอาปัจจัยทางธรรมชาติ  ไว้เป็นตัวกำหนดขอบเขตอย่างหยาบๆ  เช่น  แนวคลอง  ทิวไม้  หรือสิ่งกีดขวางทางธรรมชาติ  เป็นต้น รูปแบบการตั้งถิ่นฐานแบบรวมศูนย์ นอกจากจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงคุณลักษณะทางสังคม ประเพณี  วัฒนธรรมแล้ว  ยังบ่งชี้ถึงความต้องการความปลอดภัย  อันเนื่องมาจากการรวมกลุ่มกัน และการประหยัดพื้นที่เพาะปลูกไว้สำหรับหมู่บ้านด้วยเช่นกัน

         2. รูปแบบการตั้งถิ่นฐานแบบกระจัดกระจาย (Scattered Settlement) รูปแบบนี้จะเป็นไปในลักษณะของการตั้งถิ่นฐานของตัวบ้าน ที่ตั้งอยู่กระจัดกระจายจากกัน อยู่โดดๆ  โดยถ้าเป็นหมู่บ้านอาจมีจำนวนหลังคาเรือนน้อยมาก  โดยมากจะตั้งกระจัดกระจายกันไปตามไร่นา  สวน  เป็นต้น  มีศูนย์บริการชุมชน ได้แก่  วัด  โรงเรียน  สถานีอนามัย  ห่างจากที่พักอาศัย  ลักษณะรูปแบบเกิดจากสภาพสังคมที่ชอบอยู่โดดเดี่ยว  พวกที่จับจอง บุกรุกที่ดิน  เพื่อความสะดวกในการประกอบอาชีพทางด้านเกษตรกรรม  เป็นต้น  หมู่บ้านรูปแบบนี้พบมากทางภาคกลางตอนล่าง  และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  ตลอดจนภาคใต้ ตามสวนยาง สวนมะพร้าว และสวนผลไม้   โดยทั่วไปรูปแบบการตั้งถิ่นฐานแบบกระจัดกระจายนี้จะมีความสัมพันธ์กับไร่นา  หรือพื้นที่เกษตร กับระยะทางที่ต้องเดินทางไปประกอบอาชีพที่ต้องไม่ไกลจากที่อยู่อาศัย   รูปแบบการตั้งถิ่นฐานแบบากระจัดกระจาย เป็นตัวบ่งชี้ถึงสภาวะการขาดแคลนพื้นที่เพาะปลูก  เช่น บริเวณที่ราบสูง  และปัญหาการเสื่อมโทรมของพื้นที่ดิน  เป็นต้น

         3. รูปแบบการตั้งถิ่นฐานแบบแนวเส้นตรง (Line Settlement)   เป็นรูปแบบที่มีการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนตามแนวริมน้ำ ชายฝั่งทะเล หรือตามแนวเส้นทางคมนาคม รูปแบบดังกล่าวพบมากบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา และลำน้ำต่างๆ  ส่วนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบตามลุ่มน้ำ มูล และชี  สำหรับภาคตะวันออกพบตามแนวชายฝั่งทะเล  หรือในระยะที่มีพัฒนาการของการสร้างเส้นทางคมนาคม  เช่น ถนน  ทางรถไฟ  จะพบชุมชนตามแนวเส้นทางเหล่านี้เช่นกัน

         รูปแบบการตั้งถิ่นฐานแบบแนวเส้นตรง  หรือแนวยาว  มักมีบทบาทของชุมชนที่เน้นไปทางด้านบริการเล็กๆ น้อยๆ  ที่เกี่ยวเนื่องด้วยการเกษตร และการค้าและบริการ  เป็นต้น

รูปแบบการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนในชนบท (Pattern of Settlements)

มนุษย์สร้างที่อยู่อาศัยรวมกันบนพื้นที่ที่มีสภาวะแวดล้อมแตกต่างกันแล้วแต่ ความพอใจของแต่ละชุมชน บางพวกชอบตั้งบ้านเรือนตามแนวถนน บางพวกชอบที่ลุ่ม บางพวกชอบที่เนิน ฯลฯ อย่างไรก็ตามทุกชุมชนก็มีเหตุผลในการเลือกสถานที่นั้นเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของ ตน

การตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนของคนไทยในชนบท ถ้าพิจารณาในลักษณะทางกายภาพแล้ว สามารถแบ่งได้หลายรูปแบบ ได้แก่ 

1. รูปแบบเรียงยาว (Linear pattern) 

ประชากรจะตั้งบ้านเรือนกระจายเรียงยาวไปตามริมคลอง ริมแม่น้ำ ฝั่งทะเล หรือตามแนวถนน โดยประชากรเหล่านั้นจะได้อาศัยแม่น้ำลำคลอง ถนน เป็นการสัญจรไปมา แล้วยังจะได้อาศัยลำน้ำในการอุปโภคบริโภคอีกด้วย หมู่บ้านรูปแบบนี้มีมากในภาคกลางของประเทศไทย เพราะมีเส้นทางสัญจรทางน้ำมากพอๆกับถนน การตั้งถิ่นฐานแบบนี้พิจารณาเป็นแบบย่อยได้อีก

1.1 รูปแบบเรียงยาวเดี่ยว ส่วนมากพบในหมู่บ้านที่ตั้งขึ้นใหม่ๆ บ้านแต่ละหลังยังกระจายกันอยู่ห่างๆ แต่ก็มีลักษณะเป็นแบบเรียงยาวไปตามเส้นทางแม่น้ำหรือถนนทั้งสองฟาก

1.2 รูปแบบเรียงซ้อน บ้านที่อยู่ทั้งสองฟากจะมีลักษณะแบบจับคู่เนื่องจากได้มีการขยายครอบครัว หรือมีการอพยพเข้ามาในชุมชน เป็นชุมชนที่ตั้งมาเป็นเวลานาน ข้อสังเกตผู้มีฐานะดีจะอยู่ริมน้ำ ถัดเข้าไปฐานะจะด้อยลง ในฤดูฝนบริเวณใต้ถุนบ้านน้ำจะท่วม การติดต่อจะเรือขนาดเล็กซึ่งมีประจำกันทุกครอบครัว ถ้าตัดถนนผ่านเข้าไปในหมู่บ้านนี้จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เช่น เส้นทางขนส่ง รูปแบบของชุมชนและการเปลี่ยนแปลงรูปทรงของบ้าน

ชุมชนรูปแบบนี้ถ้าตั้งอยู่ทำเลดีๆ เช่น มีคลองมาบรรจบ บ้านเรือนก็จะตั้งหนาแน่นโดยเรียงซ้อนกันหลายชั้น และถ้ามีคลองมาบรรจบเป็นช่วงๆ ก็จะมีรูปร่างโป่งตรงคลองที่มาบรรจบ บางครั้งเรียกชุมชนที่โป่งเป็นช่วงๆนี้ว่า รูปแบบเรียงยาวฝักถั่ว

2. รูปแบบรวมกลุ่ม (Cluster pattern) 

เป็นรูปแบบที่ปรากฏอยู่มากในชนบททุกภาคของประเทศไทย บ้านเรือนที่ตั้งอยู่ในบริเวณเช่นนี้มักจะตั้งอยู่ในบริเวณที่มีสภาพเด่นทาง ภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจหรือวัฒนธรรม ไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้ทางน้ำหรือถนนเสมอไป ในชนบทไทยอาจพิจารณาแบ่งรูปแบบรวมกลุ่มได้ 2 แบบ

2.1 รูปแบบรวมกลุ่มอย่างสุ่ม บ้านแต่ละหลังก่อสร้างบนพื้นที่ไม่เป็นระเบียบ จะสร้างที่ใดก็ได้ แล้วแต่ความพอใจ ไม่มีแผนผังแน่นอน บางครั้งก็สร้างต่อๆกันออกไป เมือบุคคลในครอบครัวต้องแยกจากครอบครัวเดิม บริเวณบ้านต่อบ้านอาจมีรั้วต้นไม้แสดงเขตหรือไม่มีเลยก็ได้ ส่วนมากจะพบตามหมู่บ้านที่ตั้งมาเป็นเวลานาน

2.2 รูปแบบการรวมกลุ่มอย่างมีระเบียบ เป็นหมู่บ้านสมัยใหม่บ้านแต่ละหลังมีเส้นทางถนนตัดผ่าน มีความสะดวกในการติดต่อ เช่น นิคมสร้างตนเอง

3. รูปแบบโดดเดี่ยว (Isolate pattern) 

เป็นการตั้งบ้านเรือนอยู่โดดเดี่ยว แต่ละบ้านอยู่ห่างกันพอประมาณ เห็นได้ชัดเจนบริเวณท้องทุ่งนาหรือป่า การติดต่อกับภายนอกมีน้อยแบ่งออกได้ 2 ลักษณะ

3.1 รูปแบบโดดเดี่ยวอย่างสุ่มหรือแบบบ้านกระจาย พบในบริเวณที่มีการบุกเบิกใหม่ๆ เช่น บริเวณที่มีการทำไร่เลื่อนลอย (Shifting cultivation) หมู่บ้านเชิงเขา กลุ่มนี้มีโอกาสที่จะเคลื่อนย้ายหรือปล่อยบ้านทิ้งได้ ถ้าการทำมาหากินไม่ประสบผลสำเร็จหรือดินและน้ำไม่อุดมสมบูรณ์

3.2 รูปแบบโดดเดี่ยวอยู่ในที่ทำกิน (Single farmstead) เป็นผู้ประกอบกิจการทางด้านเกษตรกรรมและมีบ้านอยู่ในที่นั้นด้วย บ้านเรือนแต่ละหลังตั้งอยู่ไม่ห่างไกลกันนัก ไม่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน และมักตั้งอยู่บนที่ดอน ในชนบทไทยมีหมู่บ้านแบบนี้ทุกภาค ส่วนใหญ่จะเป็นการเกษตรแบบผสม คือมีทั้งปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่เดียวกัน แต่ขนาดของพื้นที่และเครื่องมือประกอบกิจการจะแตกต่างไปจากในต่างประเทศมาก

ยอดจองบ้านเอื้ออาทรสิบวันทะลุเกินคาด


ยอดจองบ้านเอื้ออาทรสิบวันในงานมหกรรมมหกรรมขายที่อยู่อาศัย "40 ปี การเคหะแห่งชาติ คิดถึงบ้าน คิดถึงการเคหะฯ” เกินเป้าที่ตั้งไว้ 4,112 หน่วย มูลค่ามากกว่า 1,640 ล้านบาท บ้านเอื้ออาทรตลาดไท (เทพกุญชร 34) เฟส 1 ครองแชมป์ยอดจองสูงสุด 591 หน่วย
 
          นางอำภา รุ่งปิติ รองผู้ว่าการ รักษาการแทนผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากการที่ การเคหะแห่งชาติจัดงานมหกรรมขายที่อยู่อาศัยครั้งยิ่งใหญ่ฉลองครบรอบการก่อตั้ง "40 ปี การเคหะแห่งชาติ คิดถึงบ้าน คิดถึงการเคหะฯ” ระหว่างวันที่ 22 – 31 มีนาคม 2556 ณ สำนักงานใหญ่ การเคหะแห่งชาติ สำนักงานเคหะชุมชนและสถานที่ตั้งโครงการทั่วประเทศ ศูนย์ขายปริมณฑล และห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เพื่อตอบสนองความต้องการด้านที่อยู่อาศัยสำหรับประชาชนผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง รวมทั้งกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เริ่มสร้างฐานะ สร้างครอบครัวได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในราคาที่สามารถรับภาระได้ ซึ่งเปิดให้จองพร้อมทำสัญญาโครงการบ้านเอื้ออาทร ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูมิภาค ในลักษณะอาคารชุดพักอาศัยและบ้านพร้อมที่ดิน ในราคาเริ่มต้น 390,000 บาท จำนวน 92 โครงการ รวม 17,652 หน่วย และโครงการเคหะชุมชน จำนวน 1,890 หน่วย ผลสรุปยอดจองบ้านเอื้ออาทรสิบวันสามารถทำยอดขายได้ 4,112 หน่วย คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 1,640 ล้านบาท จากที่ได้ตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ 4,000 หน่วย ซึ่งในงานนี้ธนาคารอาคารสงเคราะห์และธนาคารออมสินได้ให้สินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ แก่ลูกค้าที่จองและทำสัญญาเฉพาะในงานนี้ด้วย
 
          สำหรับโครงการบ้านเอื้ออาทรที่ได้รับความสนใจจองจากประชาชนมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ บ้านเอื้อ-อาทรตลาดไท (เทพกุญชร 34) เฟส 1 จำนวน 591 หน่วย บ้านเอื้ออาทรชลบุรี (วัดรังสีสุทธาวาส) จำนวน 370 หน่วย บ้านเอื้ออาทรระยอง (วังหว้า) เฟส 2 จำนวน 323 หน่วย บ้านเอื้ออาทรนครราชสีมา (หนองจะบก) เฟส 2 จำนวน 308 หน่วย และบ้านเอื้ออาทรภูเก็ต (ถลาง เฟส 1) ส่วน 3 จำนวน 298 หน่วย